วิธีรักษาโรคเอดส์ ให้หายขาด ความหวังใหม่และการดูแลสุขภาพในปี 2025

รู้จักโรคเอดส์ ข้อมูลอัปเดตล่าสุด ปี 2025

โรคเอดส์ (AIDS) เป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ซึ่งทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอต่อการติดเชื้อฉวยโอกาสและโรคร้ายแรงอื่น ๆ แม้ในอดีตโรคเอดส์จะถูกมองว่าเป็นโรคร้ายแรงที่ไม่สามารถรักษาได้ แต่ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบัน ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวและสุขภาพที่ดีได้หากได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม

ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่ามีผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วโลกราว 38.8 ล้านคนในปี 2024 โดยในจำนวนนี้ประมาณ 75% ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART) ซึ่งช่วยลดปริมาณไวรัสในร่างกายให้อยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบ (Undetectable Viral Load) แม้ว่าโรคเอดส์จะยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การพัฒนายาและการวิจัยเชิงการทดลองในปัจจุบันให้ความหวังว่าในอนาคตอาจมีการรักษาที่สามารถทำให้ผู้ติดเชื้อหายขาดได้

 

ยาต้านไวรัส

ยาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy – ART) เป็นการรักษาหลักสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีในปัจจุบัน ยาต้านไวรัสช่วยยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อในร่างกาย ลดปริมาณเชื้อในเลือดจนถึงระดับที่ตรวจไม่พบ และป้องกันไม่ให้โรคพัฒนาเข้าสู่ระยะเอดส์

 

ประโยชน์ของยาต้านไวรัส:

  1. เพิ่มจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาว CD4 ซึ่งช่วยฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน
  2. ลดโอกาสการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
  3. ป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาสและโรคแทรกซ้อน
  4. เพิ่มคุณภาพชีวิตและอายุขัย

การรับประทานยาต้านไวรัสต้องทำอย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด เพราะหากหยุดยาโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เชื้อไวรัสอาจเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วและพัฒนาความดื้อยาได้

 

การรักษาในเชิงการทดลอง

แม้ว่าการรักษาเอชไอวีให้หายขาดยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัย แต่การรักษาเชิงการทดลองบางแนวทางได้แสดงให้เห็นถึงความหวังใหม่ เช่น:

      1. การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์:
      การรักษานี้ใช้เซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cells) จากผู้บริจาคที่มีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติต่อเชื้อเอชไอวี เช่น การปลูกถ่ายใน “ผู้ป่วยเบอร์ลิน” และ “ผู้ป่วยลอนดอน” ซึ่งทำให้ไม่พบเชื้อเอชไอวีในร่างกายอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ยังมีความเสี่ยงสูงและไม่สามารถใช้ได้กับผู้ติดเชื้อทุกคน

      2. การบำบัดด้วยยีน (Gene Therapy):
      การใช้เทคโนโลยีตัดต่อยีน เช่น CRISPR เพื่อปรับแต่งยีนที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อเอชไอวี หรือสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อเอชไอวีให้กับร่างกาย

      3. วัคซีนรักษาเอชไอวี:
      วัคซีนที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเพื่อกำจัดเชื้อเอชไอวีอยู่ในขั้นตอนการทดลองทางคลินิก เช่น วัคซีน mRNA ที่ใช้แนวคิดเดียวกับวัคซีนโควิด-19

      4. ยากระตุ้นภูมิคุ้มกัน (Immunotherapy):
      การใช้ยาหรือสารกระตุ้นเพื่อเพิ่มความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับเชื้อเอชไอวี

แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น รายงานจาก UNAIDS และวารสารการแพทย์ The Lancet ชี้ว่าการรักษาเหล่านี้ยังต้องการการวิจัยเพิ่มเติมก่อนจะสามารถนำมาใช้ได้อย่างแพร่หลาย

 

การดูแลแบบองค์รวมสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี

การดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่ใช่เพียงแค่การรับประทานยา แต่ยังรวมถึงการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม เช่น:

        – โภชนาการที่เหมาะสม: รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

        – การออกกำลังกาย: ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและลดความเครียด

        – สุขภาพจิต: การรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญหรือกลุ่มสนับสนุนช่วยลดความกังวลและความโดดเดี่ยว

        – การป้องกันการติดเชื้อ: รับวัคซีนที่จำเป็น เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง

 

ข้อควรระวัง: เตือนภัยข้อมูลผิด ๆ

ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคเอดส์อาจสร้างความเข้าใจผิดและผลกระทบต่อการรักษา ยกตัวอย่างข้อมูลผิด ๆ เช่น:

        1. เอชไอวีรักษาด้วยสมุนไพรได้    ยังไม่มีสมุนไพรใดที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถรักษาเอชไอวีได้

        2. ไม่ต้องรักษาหากยังไม่มีอาการ    การรักษาควรเริ่มต้นตั้งแต่พบเชื้อ แม้จะไม่มีอาการ เพื่อป้องกันการลุกลาม

        3. ผู้ติดเชื้อไม่ควรมีลูก   ปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์ช่วยให้ผู้ติดเชื้อสามารถมีบุตรโดยไม่แพร่เชื้อได้

        4. เอชไอวีแพร่เชื้อผ่านการสัมผัสทั่วไป   การจับมือ การกอด หรือการใช้ห้องน้ำร่วมกันไม่ทำให้ติดเชื้อ

        5. ตรวจเอชไอวีไม่ได้ผลในระยะแรก การตรวจเชื้อในระยะแรกสามารถทำได้ด้วยวิธีการตรวจที่เหมาะสม เช่น NAT หรือ ชุดตรวจ อินสติ

 

แนะนำชุดตรวจเอชไอวีด้วยตัวเองที่มีมาตรฐานของ อินสติ

การตรวจหาเชื้อเอชไอวีตั้งแต่ระยะแรกมีความสำคัญ เพราะช่วยให้ผู้ติดเชื้อเริ่มต้นการรักษาได้ทันที ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง เช่น อินสติ (INSTI) เป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการความสะดวกและความเป็นส่วนตัว

จุดเด่นของอินสติ:

  • ให้ผลลัพธ์ภายใน 1 นาที
  • ตรวจหาแอนติบอดีได้ตั้งแต่ 21 วันหลังสัมผัสเชื้อ
  • ใช้งานง่ายและไม่ต้องใช้อุปกรณ์ซับซ้อน
  • ได้รับการรับรองมาตรฐานจากองค์การอนามัยโลก (WHO)

การเลือกชุดตรวจที่ได้มาตรฐานช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับความแม่นยำและความปลอดภัยของผลตรวจ

 

รณรงค์ให้คนตระหนักถึงการตรวจเอดส์ด้วยตัวเอง

การตรวจเอชไอวีควรเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน การตรวจHIVด้วยตัวเองช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับความอายหรือการตีตราทางสังคม และเพิ่มโอกาสในการป้องกันการแพร่เชื้อ การรณรงค์ควรมุ่งเน้นให้ประชาชนเข้าใจว่าการตรวจเอชไอวีไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่เป็นการดูแลสุขภาพที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน

วิธีรักษาโรคเอดส์ ให้หายขาด แม้การรักษาโรคเอดส์ให้หายขาดยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา แต่การรักษาด้วยยาต้านไวรัสในปัจจุบันสามารถควบคุมโรคและยืดอายุผู้ป่วยได้ การตรวจเชื้อแต่เนิ่น ๆ เช่น การใช้ชุดตรวจอินสติ ช่วยให้เริ่มต้นการรักษาได้ทันท่วงที และลดการแพร่ระบาดในชุมชน การสร้างความตระหนักให้กับสังคม

 


อินสติ

อินสติ มีจำหน่ายที่ร้านขายยาทั่วไป สามารถเข้าไปค้นหาร้านขายยาที่มีอินสติ ได้ที่ ร้านจำหน่าย INSTI 

หรือสั่งซื้อผ่านแอปพลิเคชัน Grab , LINE MAN , Foodpanda , Lalamove เข้าไปที่แอพแล้วเลือกร้าน Boots เสิร์จ คำว่า ชุดตรวจเอชไอวี หรือคำว่า อินสติ หรือ Insti

ผ่านอีกหนึ่งช่องทางคือสั่งซื้อผ่านทางผู้นำเข้าโดยตรง ได้ที่

Line OA: @insti

Facebook: อินสติ insti ชุดตรวจเอชไอวี

Shopee: INSTi_THAILANDHIVTEST

Lazada: INSTi_THAILANDHIVTEST

Tiktok: อินสติ INSTI หรือ Insti.thailand-v2

Line Shopping: insti

Website: thailandhivtest.com