อาการเอดส์
โรคเอดส์ (AIDS) เกิด จากการติดเชื้อ ไวรัสเอชไอวี ในขั้นสุดท้าย โดยเชื้อ จะเข้าไปทำลายเซลล์ เม็ดเลือดขาว จนทำให้ ระบบภูมิคุ้มกัน ภายในร่างกาย มีความบกพร่อง จนไม่สามารถต่อสู้ หรือกำจัดเชื้อไวรัส ที่เข้าไปสู่ร่างกายได้ จึงทำให้ ผู้ป่วย เกิดการเจ็บป่วยต่าง ๆ ได้ง่าย และอาจนำไปสู่ การเสียชีวิตลงในที่สุด
ซึ่งในปัจจุบัน ก็ยังไม่มีวิธีการใด ที่จะสามารถรักษา โรคเอดส์ให้หายขาดได้ มีเพียงยา ที่ช่วยในการชะลอ การพัฒนาโรค และ ลดอัตรา การเสียชีวิต จากโรคเอดส์เท่านั้น
หากรู้ตัว ว่าตนเอง มีความเสี่ยง ในการติดเชื้อ การเริ่มเข้ารักษา ตั้งแต่เริ่มแรก อาจช่วย ให้การติดเชื้อเอชไอวี ไม่ลุกลามไปสู่ ภาวะเอดส์ได้
หากมีการกล่าวถึง อาการของเอดส์ ซึ่งโดยหลัก ๆ แล้วจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่
ระยะแรกของการติดเชื้อ ในระยะแรกนี้ อาจจะแสดงอาการ ให้เห็น แต่ไม่รุนแรง แต่เป็นระยะที่ เชื้อได้มีการแพร่ กระจาย และลุกลาม ไปตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ ภายในร่างกาย ซึ่งผู้ป่วย จะมีอาการ เพียงแค่ มีอาการป่วย คล้ายไข้หวัดใหญ่ โดย
อาการจะเริ่ม ปรากฏให้เห็น ภายใน 1-2 เดือน หลังจากได้รับเชื้อมา แล้วอาการ จะอยู่กับเรา อีกประมาณ 2-3 สัปดาห์ เช่น เป็นไข้ เจ็บคอ ปวดเมื่อย ตามกล้ามเนื้อ ปวดหัว ต่อมน้ำเหลืองโต มีผื่นขึ้น เป็นต้น
ระยะอาการสงบ ระยะนี้ มักไม่มี การแสดงอาการ ให้เห็น หรือแทบไม่มี อาการป่วยใด ๆ เลย แต่เชื้อ ที่อยู่ภายในร่างกาย ก็จะยังทำลาย ระบบภูมิคุ้มกัน ให้มีความบกพร่อง ลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการติดเชื้อ ในระยะนี้ จะเกิดขึ้นเป็นเวลา ประมาณ 10 ปี หรือ ระยะเวลา ที่นานกว่านั้น
หากผู้ป่วย ได้มีการรับประทาน ยาต้านได้ ทันเวลา อย่างถูกต้อ งสม่ำเสมอ และสำหรับผู้ ที่ไม่ได้เข้ารับการรักษา
เชื้อที่อยู่ ภายในร่างกาย อาจมีการพัฒนาโรค จนเกิดการเจ็บป่วย ถึงขั้นที่รุนแรงได้ ซึ่งอาจเกิดอาการเรื้อรัง โดยเป็นสัญญาณ ของการติดเชื้อ ที่ได้พัฒนา ไปสู่ภาวะเอดส์ ในระดับอ่อน ๆ เช่น มีไข้ ท้องร่วง น้ำหนักลดลง ต่อมน้ำเหลืองบวม งูสวัด รวมไปถึง การมีเชื้อรา ภายในช่องปาก
ระยะเอดส์ เป็นระยะสุดท้าย ของการติดเชื้อ ไวรัสเอชไอวี ซึ่งหากผู้ป่วย ไม่เข้ารับการรักษา เชื้อจะพัฒนา ไปสู่ภาวะเอดส์ ได้ภายในระยะเวลาประมาณ 10 ปี เพราะเมื่อมีการป่วยเป็นเอดส์ ระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายจะถูกทำลายลงอย่างหนักจนทำให้ไม่สามารถต่อต้านกับเชื้อได้
จึงทำให้ผู้ป่วยสามารถเกิดการเจ็บป่วยและโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ จนนำไปสู่การเสียชีวิตลงได้ โดย อาการเอดส์ ที่อาจเป็นสัญญาณเตือน ได้แก่ มีไข้อยู่ตลอดเวลา ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ไม่มีแรง น้ำหนักลดลง มีเหงื่อไหลในตอนกลางคืน ท้องร่วงโดยไม่รู้สาเหตุ ลิ้นเป็นฝ้า เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ระยะเอดส์ เป็นระยะที่น่ากลัวสำหรับใครหลาย ๆ คน วิธีการป้องกันเลยคือ หากรู้ว่าตนเองไปได้รับความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีมา ก็ให้รีบทำการตรวจด้วยชุดตรวจคัดกรองด้วยตนเอง ที่มีความปลอดภัย แม่นยำ มาตรฐานเดียวกับโรงพยาบาล ตรวจคัดกรองเบื้องต้นเพื่อความชัวร์
เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ โดยไม่ทำการตรวจ หรือรักษาตามขั้นอาจทำให้เชื้อที่อยู่ภายในร่างกายลุกลามไปสู่ภาวะเอดส์จนทำให้เสียชีวิตได้
ทั้งนี้การตรวจด้วยชุดตรวจเป็นการตรวจคัดกรองเบื้องต้นเท่านั้น หากผลตรวจออกมา ว่ามีการติดเชื้อ หรือไม่ติดเชื้อ ก็ให้ทำการตรวจซ้ำอีก 3 เดือนหลังจากตรวจครั้งแรก เพื่อยืนยันผลตรวจอีกครั้ง หากมีการตรวจในครั้งต่อไปก็ให้รีบไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเข้ารับการรักษาและรับยาต้าน