การดูแลตัวเองเมื่อติดเชื้อ HIV ในปัจจุบันเราไม่มีทางจะแยกออกได้แน่ ว่าใครติดหรือไม่ติดเชื้อ หากเจ้าตัวไม่ได้บอกโดยตรง เพราะว่าสุขภาพของผู้ป่วยนั้น ก็ดีไม่ต่างกับบุคคลโดยทั่วไป เนื่องจากผู้ติดเชื้อเอชไอวี ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะสามารถเข้ารักษาได้ฟรี ที่สถานพยาล โดยสิทธิที่เข้ารับการรักษาสามารถใช้ได้ทั้ง สิทธิประกันสังคม สิทธิข้าราชการ หรือสิทธิบัตรทอง ถ้าหากผู้ติดเชื้อ เข้ารับการรักษาได้ทันเวลา และปฏิบัติตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ก็จะไม่แสดงอาการอะไรออกมา
รู้หรือไม่?
– ผู้ติดเชื้อเอชไอวี เข้ารับการรักษา และทานยาอย่างต่อเนื่องทุกวัน เป็นเวลามากกว่า 6 เดือน หากตรวจเลือดแล้วไม่พบเชื้อไวรัส (เชื้อไวรัสเหลือน้อย จนชุดตรวจ ไม่สามารถตรวจได้) ผู้ป่วยคนนั้น จะไม่สามารถ ส่งต่อเชื้อไปสู่คนอื่นได้
– ส่วนใหญ่แล้ว ผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ จะติดมาจากการ มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกัน กับผู้ที่ก็ไม่รู้ว่าตนเองมีเชื้อเอชไอวี
– ผู้ที่มีความประสงค์ หรือต้องการขอคำปรึกษา แนะนำเกี่ยวกับการตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวี สามารถเข้ารับการตรวจได้ฟรีปีละ 2 ครั้ง ที่โรงพยาบาลทุกแห่งภายใต้ ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
– อย. ปลดล็อคชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง ให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจเอชไอวีได้มากขึ้น
การรับเชื้อเอชไอวีจะเสี่ยงหรือไม่เสี่ยง ขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้ง 3 อย่าง คือ
1. รับเชื้อเอชไอวีในปริมาณที่มากพอ
ปริมาณเชื้อเอชไอวีที่อยู่ในส่วนต่างๆ ของร่างกาย เรียงลำดับจากมากไป ดังนี้ อันดับแรก คือ เลือด รองลงมา คือ น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด น้ำนมแม่ และสุดท้าย คือ น้ำลาย ซึ่งมีเชื้ออยู่น้อยมากๆ จนอาจไม่สามารถติดต่อไปสู่คนอื่นได้
2. สภาพแวดล้อมที่เชื้อเข้าไปอยู่ได้ต้องเหมาะสม
ไม่ว่าจะเป็น เชื้อเข้าไปในกระแสเลือด ช่องคลอด ช่องทวารหนัก เป็นต้น ซึ่งถ้าหากเชื้อออกมาแล้ว พบกกับสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม คืออยู่ในที่ ร้อน แห้ง หรือนอกร่างกาย เชื้อจะด้อยคุณภาพและไม่สามารถติดต่อไปสู่คนอื่นได้
3. ต้องมีช่องทางส่งต่อเชื้อได้โดยตรง
ไม่ว่าจะเป็น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันไม่ว่าจะใช้ เพื่อทางการแพทย์ หรืออื่นๆ การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน เป็นการส่งต่อเชื้อกันโดยตรง โดยกรณีของการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน เชื้ออาจจะผ่านเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อบุช่องคลอด เยื่อบุช่องทวาร หรือบริเวณเยื่อบุอ่อนปลายอวัยวะเพศชาย
การดูแลตัวเองเมื่อติดเชื้อ HIV
หลังจากที่เรารับรู้แล้วว่าตนเอง ติดเชื้อเอชไอวี และได้รับการตรวจยืนยันจาก สถานพยาบาลที่น่าเชื่อถือแล้ว สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกนอกจากตั้งสติ คือ รีบไปพบแพทย์ เพื่อทำการรักษาอย่างเร่งด่วน เพื่อที่จะยับยั้งเชื้อไวรัส ไม่ให้พัฒนาไปเป็นสภาวะเอดส์ โดยหากอยู่ในการรักษาของแพทย์แล้วก็ ค่อนข้างสบายใจได้ หากคุณปฏิบัติตามที่แพทย์สั่ง และทานยาตรงเวลาทุกวันไม่ให้ขาด ก็จะทำให้คุณสุขภาพแข็งแรง เหมือนคนปกติ และมีอายุขัย ที่ยาวนานเทียบเท่ากับ คนที่ไม่ได้ติดเชื้อ นอกจากนี้การดูแลตนเอง ในเรื่องต่อไปนี้ก็มีความสำคัญเช่นกัน
• รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งให้เคร่งครัดตรงเวลา
• รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เคยได้ยินกันไหม
การเลือกรับประทานอาหารที่ดีนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะอาหารมีส่วนช่วยเสริมสร้างการทำงานที่ดีของระบบภูมิคุ้มกัน และให้พลังงานต่อร่างกาย
• ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ช่วยสร้างเสริมสุขภาพร่างกายและสุขภาพใจให้แข็งแรง นอกจากนี้การออกกำลังกายอาจช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญดีขึ้นอีกด้วย
• ดูแลสุขภาพจิต เป็นเรื่องปกติที่ผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะต้องรู้สึกสูญเสียอะไรในใจ หรือซึมเศร้าไปเลย กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก บอกใครก็ไม่ได้ ซึ่งจะดีกว่ามากหากเรามีใครให้บอกเล่าความรู้สึก ปรึกษาและให้คำแนะนำ ดังนั้นจงกล้าที่จะปรึกษาจิตแพทย์ นอกจากการคุยกับจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้ว เราอาจดูแลสุขภาพจิตใจได้ด้วยการนั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรม ให้จิตใจสงบขึ้น
• เลิกบุหรี่ บุหรี่นั้นทำร้ายสุขภาพแน่นอนอยู่แล้ว ร่างกายรับเคมีบางอย่างเข้าไป ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานหนักขึ้น ซึ่งมีผลต่อการยับยั้งไวรัสเอชไอวี และอาจก่อให้เกิดโรคร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคปอด และปอดติดเชื้อ เป็นต้น ซึ่งความเป็นจริงแล้วผู้ป่วยควรจะมีสุขภาพที่แข็งแรงอยู่เสมอ
• เลิกใช้ยาเสพติด การใช้ยาเสพติด อาจทำให้อาการต่าง ๆ ของผู้ป่วยแย่ลงได้ และยิ่งหากมีการเสพยาโดยการฉีด อาจทำให้เชื้อไวรัสเจริญเติบโตขึ้นได้
• ลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อเอชไอวีสู่ผู้อื่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวีควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ให้คู่นอนไปตรวจเลือด และผู้ป่วยต้องรับประทานยาต้านเชื้อเอชไอวีอยู่เสมอ
• ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ไม่ให้เกิดโรคอื่นๆ ซึ่งอาจทำให้อาการแย่ลง
สิ่งที่ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีควรทำ ถึงแม้ว่าจะไม่อยากทำ คือ ควรจะต้องบอกคนรอบตัวว่าตนเองเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี ถึงแม้ว่าคุณจะรู้สึกแย่ อาย ไม่กล้าที่จะพูดออกไป แต่หากคุณทำอย่างนั้นเท่ากับผิด คนรอบข้างตัวจะไม่มีการระมัดระวังตัวและคุณอาจแพร่เชื้อไปสู่พวกเขา แต่หากว่าบอกให้ครอบครัว เพื่อน บุคคลใกล้ชิด หรือคู่นอนรับรู้ ทั้งตนเองและคนรอบข้างจะได้เตรียมรับมือและปฏิบัติตัวตามข้อควรระวังหรือขั้นตอนต่าง ๆ ได้ ให้เขาเข้าใจคุณมากขึ้น คอยให้กำลังใจ และคุณจะไม่อึดอัด